ประวัติความเป็นมา
จากการเล่าสืบต่อๆกันมาของบรรพบุรุษชาว ต.สวด อ.บ้านหลวงว่า…..
ในอดีตคนเมืองสวดที่เป็นชายฉกรรจ์ ถูกเกณฑ์ให้ไปเป็นทหารในสงครามที่เมืองเชียงตุงโดยมี มีด พร้า หอก ดาบเป็นอาวุธประจำกาย สงครามในครั้งนั้น อาศัยความสามารถทางไสยศาสตร์และปฏิภาณไหวพริบในการสู้รบเพื่อชัยชนะและการรักษาชีวิตให้รอดปลอดภัย มีอยู่ครั้งหนึ่งกำลังของข้าศึกที่มีมากกว่า ได้รุกไล่ทหารชาวเมืองสวดให้ถอยร่นไปรวมตัวเป็นกระจุกอยู่หลังจอมปลวกแห่งหนึ่ง ข้าศึกพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าในการปีนจอมปลวกมาเพื่อเผด็จศึก แต่ก็ถูกทหารชาวเมืองสวดฆ่าตายเสียหมดสิ้นเป็นที่น่าประหลาดใจนักที่ฝ่ายข้าศึกถึงแม้จะระดมยิงกระสุนปืนเข้าใส่จอมปลวกที่ทหารเมืองสวดใช้ตั้งมั่นอยู่ แต่ก็ไม่มีกระสุนนัดใดทำอันตรายต่อจอมปลวกและทหารเมืองสวดได้ เมื่อข้าศึกไม่สามารถทำอะไรกับทหารเมืองสวดได้ตลอดจนถึงการสูญเสียไพร่พลเป็นจำนวนมาก จึงถอยกำลังกลับไปในที่สุด บรรดาทหารชาวเมืองสวดและผู้นำการสู้รบจึงร่วมกันวินิจพิจารณาถึงเหตุการณ์ปาฏิหาริย์ที่นำพาทุกคนให้แคล้วคลาดจากอันตรายในครั้งนี้และสรุปต้องกันว่า ในจอมปลวกนี้ ต้องมีของดีอยู่เป็นแน่ จึงร่วมกันขุดจอมปลวกพิสูจน์ดูเพื่อให้รู้แน่ชัด ปรากฏว่า ในจอมปลวกนี้ มีพระแก้วมรกตและพระพุทธรูปที่มีลักษณะใกล้เคียงกันอีกองค์หนึ่งซึ่งทั้งสององค์มีขนาดเท่ากับฝ่ามือคือหน้าตักประมาณ 2-2.5 นิ้ว เมื่อสงครามยุติลง ทหารชาวเมืองสวดจึงอัญเชิญพระพุทธรูปทั้งสององค์มาประดิษฐานที่วัดหลวงแห่งนี้เพื่อให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองและดลบันดาลให้ชาวเมืองสวดมีความร่มเย็นเป็นสุข และสักการะบูชาเพื่อความเป็นศิริมงคล ความศักดิ์สิทธ์ของพระแก้วบ้านหลวงเป็นที่เลื่องลือ จึงมีผู้ที่คิดจะลักขโมยหลายครั้งรวมไปถึงการใช้กลอุบายต่างๆมาหลอกล่อเพื่อนำพระแก้วออกไปจากอ.บ้านหลวงหรือมีเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ใช้เพทุบายสั่งการให้พระแก้วมรกตนี้ไปไว้ในวัดใหญ่ในตัวเมือง แต่ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการแคล้วคลาดทุกครั้งในปีหนึ่ง เมื่อมีการลอบวางเพลิงบ้านเรือนราษฎรที่อยู่ใกล้วัดจนเกิดความชุลมุนวุ่นวาย คนร้ายได้แอบลักลอบไปขโมยองคพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์แต่ด้วยอภินิหารของพระแก้วมรกตทำให้คนร้ายได้พระพุทธรูปที่มีลักษณะใกล้เคียงไป ศึกษาเพิ่มเติม
แสดงความคิดเห็น